fbpx
เครื่องเสียงรถยนต์

เครื่องเสียงรถยนต์

คู่มือเลือกเครื่องเสียงรถยนต์​ ฉบับร็อคเก็ตซาวด์ รู้วิธีอ่านสเปคเครื่องเสียงได้ง่ายๆ!

วิธีเลือกชุดที่ใช่สำหรับรถของคุณ

เครื่องเสียงรถยนต์ Toyota Fortuner

การเลือกระบบที่ดีไม่ใช่แค่เลือกสิ่งที่แพงที่สุด แต่ต้องรู้ว่าต้องการอะไรและชอบเสียงแบบไหน

ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงแบบชิล ๆ หรือเป็นคนรักเสียงเพลง

ความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบและสเปคจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีที่สุดสำหรับรถของคุณ

ในคู่มือนี้ เราจะครอบคลุมทุกสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับระบบเครื่องเสียงรถยนต์ ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงการติดตั้งขั้นสูง

ระบบเครื่องเสียงรถยนต์มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเสียงที่มีคุณภาพ

เราจะอธิบายการเดินทางของระบบเครื่องเสียงรถยนต์อย่างละเอียด

เริ่มตั้งแต่สัญญาณจาก head unit จนถึงการสร้างเสียงที่ลำโพง

1. การส่งสัญญาณเสียงจาก Head Unit

ANDROID HEAD UNIT EXAMPLE

สัญญาณเสียงเริ่มต้นที่ head unit ซึ่งเป็นแหล่งสัญญาณหลัก เช่น วิทยุ CD, USB, Bluetooth หรือแหล่งสัญญาณอื่น ๆ

head unit จะทำการแปลงสัญญาณเสียงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น MP3 หรือวิทยุ เป็นสัญญาณไฟฟ้าแบบดิจิตอล

2. ปรับแต่งสัญญาณเสียงใน Digital Signal Processor (DSP)

เครื่องเล่น DSP

สัญญาณดิจิตอลจาก head unit ถูกส่งไปยัง DSP เพื่อทำการปรับแต่งเสียง เช่น

  • การปรับแต่ง equalizer
  • การแก้ไขเวลา (time alignment)
  • และการปรับแต่งความถี่ (frequency adjustment)

DSP จะทำการแปลงสัญญาณดิจิตอลกลับเป็นสัญญาณอะนาล็อกเพื่อส่งต่อไปยังแอมพลิฟายเออร์

3. ขยายสัญญาณเสียงเพิ่มกำลังขับใน Amplifier

แอมป์ Prism 10.8

จาก DSP ถูกส่งไปยังแอมพลิฟายเออร์เพื่อเพิ่มกำลังขับ (power) ให้กับสัญญาณเสียง

สัญญาณเสียงที่ถูกขยายแล้วจะมีพลังงานเพียงพอที่จะขับลำโพง

ในบางกรณี แอมพลิฟายเออร์จะมีระบบ crossover ภายในที่แยกสัญญาณเสียงออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ

เพื่อส่งไปยังลำโพงที่เหมาะสม อย่างเช่นสัญญาณเสียงสูงไปถึงลำโพงทวิตเตอร์

4. แปลงเป็นเสียงโดยการสั่นจากลำโพง

ลำโพงหน้า Sinfoni

ลำโพงจะทำการแปลงสัญญาณไฟฟ้ากลับเป็นเสียงที่ได้ยิน

โดยแต่ละประเภทของลำโพงจะทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงในช่วงความถี่ที่ต่างกัน

  • ทวีตเตอร์ (tweeters) สำหรับเสียงความถี่สูง
  • มิดเรนจ์ (mid-range) สำหรับเสียงความถี่กลาง
  • ซับวูฟเฟอร์ (subwoofers) สำหรับเสียงความถี่ต่ำ

สรุปแผนผังระบบเครื่องเสียงรถยนต์

แผนผังเครื่องเสียงรถยนต์
  1. Head Unit: แหล่งสัญญาณเสียง แปลงสัญญาณเป็นดิจิตอล
  2. DSP: ปรับแต่งและแปลงสัญญาณเป็นอะนาล็อก
  3. Amplifier: ขยายและแยกสัญญาณตามความถี่
  4. Speakers: แปลงสัญญาณไฟฟ้ากลับเป็นเสียง

หลายคนอาจเคยสับสนกับศัพท์แปลกๆ เช่น RMS และตัวเลขในสเปคเครื่องเสียง

ยิ่งไปกว่านั้น คำย่อและตัวเลขมากมายบนหน้ากระดาษอาจทำให้มึนงงได้

วันนี้เราจะอธิบายสเปคที่สำคัญๆของแต่ละสินค้าให้เข้าใจง่าย

วิธีการเลือกวิทยุรถยนต์ (Head Unit)

ANDROID HEAD UNIT EXAMPLE

การเลือกวิทยุหน้ารถ ที่เหมาะสมสำหรับระบบเครื่องเสียงรถยนต์ของคุณมีความสำคัญมาก เนื่องจากมันเป็นหัวใจหลักของระบบ

มาดูกันว่าคุณควรพิจารณาสเปคอะไรบ้าง:

ความสามารถในการเชื่อมต่อ (Connectivity):

  • Bluetooth: สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายกับสมาร์ทโฟนเพื่อสตรีมเพลงและรับสายโทรศัพท์
  • USB/AUX: สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น USB drive หรือเครื่องเล่น MP3
  • Apple CarPlay/Android Auto: สำหรับการเชื่อมต่อและใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนสมาร์ทโฟน

คุณภาพเสียง (Sound Quality):

  • Preamp Outputs: ตรวจสอบจำนวนและแรงดันไฟฟ้าของ preamp outputs (เช่น 2V, 4V) เพื่อการขยายสัญญาณที่ชัดเจนและทรงพลัง
  • EQ Bands: จำนวนแถบ Equalizer ที่สามารถปรับแต่งได้ เพื่อปรับแต่งเสียงให้เหมาะกับความชอบส่วนบุคคล

หน้าจอและอินเตอร์เฟส (Display and Interface):

  • หน้าจอสัมผัส (Touchscreen): เพิ่มความสะดวกในการควบคุมและใช้งาน
  • ความละเอียดหน้าจอ (Screen Resolution): ความละเอียดสูงจะช่วยให้การแสดงผลชัดเจนขึ้น

ฟีเจอร์เพิ่มเติม (Additional Features):

  • GPS Navigation: บางรุ่นมาพร้อมกับระบบนำทางในตัว
  • DAB+ (Digital Audio Broadcasting): สำหรับรับสัญญาณวิทยุคุณภาพสูง

ควบคุมจากพวงมาลัย (Controller Area Network หรือ CAN bus):

  • การรองรับการควบคุมจากพวงมาลัย: ช่วยให้คุณสามารถควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของ head unit ได้จากพวงมาลัย

รองรับการเล่นไฟล์ (Media Playback):

  • รูปแบบไฟล์: รองรับการเล่นไฟล์เสียงและวิดีโอหลากหลายรูปแบบ เช่น MP3, FLAC, MP4
  • รองรับการเล่นแผ่น: ถ้าคุณยังใช้ CD หรือ DVD ให้ตรวจสอบว่ารองรับการเล่นแผ่นเหล่านั้นหรือไม่

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อวิทยุติดรถยนต์

  • เลือกตามความต้องการ: ถ้าเราเน้นไปที่ฟังก์ชั่นและเอนเตอร์เทนเม้นท์ให้เลือกจอแอนดรอยด์
  • การทดสอบก่อนซื้อ: ควรเลือกร้านเครื่องเสียงที่มีการให้ทดลองเล่นก่อนตัดสินใจซื้อที่ร็อคเก็ตซาวด์เรามีวิทยุหลากหลายมากกว่า 30 รุ่นให้ทดสอบ

วิธีการเลือก DSP ติดรถยนต์ (Diginal Signal Processor)

Prism SQ99DSP หน้ารถ

DSP ติดรถยนต์นับเป็นสินค้ามาแรงในเวลานี้ สามารถช่วยปรับแต่งเสียงให้เป็นตามที่เราต้องการ

ถ้าอุปกรณ์อื่นคือวัตถุดิบ DSP ก็เหมือนเครื่องปรุงที่จะทำให้เสียงมีรสชาติตามที่เราต้องการ

สิ่งที่ควรรู้คือถ้าเราติด DSP เราควรมีคนที่มีประสบการณ์เป็นคนจูนเสียงเพราะการให้มือใหม่มาปรุงอาจทำให้วัตถุดิบดีๆเสียรสชาติได้

มาดูวิธีอ่านสเปคDSPกัน:

จำนวนช่องสัญญาณ (Number of Channels):

  • Input Channels: จำนวนช่องสัญญาณที่ DSP สามารถรับได้
  • Output Channels: จำนวนช่องสัญญาณที่ DSP สามารถส่งออกได้

การปรับแต่งความถี่ (Equalization):

  • Bands of EQ: จำนวนแถบ EQ ที่สามารถปรับแต่งได้
  • Type of EQ: ตรวจสอบว่ามี Parametric EQ หรือ Graphic EQ

การแก้ไขเวลา (Time Alignment):

  • Time Delay: ความสามารถในการปรับเวลาให้เสียงจากลำโพงต่าง ๆ มาถึงหูของผู้ฟังพร้อมกัน

การประมวลผลเสียง (Sound Processing):

  • Crossover: ความสามารถในการแยกความถี่เสียงและส่งไปยังลำโพงที่เหมาะสม
  • Phase Control: การควบคุมเฟสของสัญญาณเสียงเพื่อความสมดุลที่ดียิ่งขึ้น

การเชื่อมต่อ (Connectivity):

  • Input/Output Options: ช่องเชื่อมต่อสำหรับ RCA, Optical, หรือ Digital
  • Remote Control: การควบคุมจากระยะไกลหรือผ่านแอปพลิเคชัน

ความสามารถในการอัพเกรด (Upgradability):

  • Firmware Updates: ตรวจสอบว่า DSP สามารถอัพเดตเฟิร์มแวร์ได้หรือไม่

การรองรับระบบต่าง (Compatibility):

  • Vehicle Compatibility: ตรวจสอบว่า DSP สามารถใช้งานกับระบบไฟฟ้าของรถยนต์ของคุณได้

วิธีการเลือกลำโพงติดรถยนต์ (Audio Speaker)

ลำโพงหน้า Micro-Precision S3

ลำโพงรถยนต์เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในระบบเครื่องเสียง

ลำโพงก็คือปากและเส้นเสียงที่ขับร้องให้เราได้ยิน มันจะกำหนดว่าสิ่งที่เราได้ยินจะเป็นแค่เสียง… หรือเป็นเพลง

มาดูวิธีอ่านสเปคลำโพงกัน:

ประเภทของลำโพง (Type of Speakers):

  • Coaxial Speakers: ลำโพงรวมที่มีทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์ในตัวเดียวกัน เหมาะสำหรับการติดตั้งง่าย
  • Component Speakers: ลำโพงที่แยกทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์ ทำให้มีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ติดตั้งยากกว่า

กำลังขับ (Power Handling):

  • RMS Power: กำลังขับต่อเนื่องที่ลำโพงสามารถรับได้โดยไม่เสียหาย
  • Peak Power: กำลังขับสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

ความต้านทาน (Impedance):

  • ความต้านทาน (Ohms): ความต้านทานที่เหมาะสมสำหรับระบบของคุณ เช่น 2, 4, หรือ 8 โอห์ม

ความไวเสียง (Sensitivity):

  • Sensitivity Rating: ค่า sensitivity ที่สูงแสดงถึงการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตอบสนองความถี่ (Frequency Response):

  • Frequency Range: ช่วงความถี่ที่ลำโพงสามารถผลิตเสียงได้ ซึ่งควรครอบคลุมย่านความถี่ที่กว้างเพื่อเสียงที่หลากหลาย

วัสดุของลำโพง (Speaker Materials):

  • Cone Material: วัสดุที่ใช้ในการทำกรวยลำโพง เช่น กระดาษ โพลีโพรพิลีน หรือคาร์บอนไฟเบอร์ ส่งผลต่อคุณภาพเสียงและความทนทาน
  • Surround Material: วัสดุที่ใช้ล้อมกรอบกรวยลำโพง เช่น ยาง โฟม หรือผ้า

ขนาดและการติดตั้ง (Size and Installation):

  • ขนาดของลำโพง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลำโพงมีขนาดพอดีกับพื้นที่ติดตั้งในรถของคุณ
  • วิธีการติดตั้ง: ควรเลือกวิธีการติดตั้งที่เหมาะสมกับรถของคุณและความชำนาญของคุณ

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อลำโพง

  • เลือกลำโพงที่เหมาะกับชุด: ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิทยุ หรือเพิ่มแอมป์เราอาจจะต้องเลือกลำโพงที่ค่า Sensitivity สูงเพื่อให้ลำโพงทำงานเต็มที่ในปริมาณไฟฟ้าที่จำกัด
  • ย่านความถี่: พยายามเลือกชุดลำโพงที่ตอบโจทย์ทุกช่วงความถี่ถ้าต้องการเปลี่ยนลำโพงคู่เดียวให้เลือกเสียงกลางที่ทำหน้าที่เบสได้ดีด้วย
  • การทดสอบก่อนซื้อ: มันจำเป็นมากๆที่เราจะต้องทดสอบเสียงก่อนซื้อจริงเพราะทุกองค์ประกอบของลำโพงส่งผลต่อเนื้อเสียง ที่ร็อคเก็ตซาวด์เรามีห้องลองเสียงให้เลือกจนกว่าจะชอบก่อนตัดสินใจ

วิธีการเลือกแอมพลิฟายเออร์ (Amplifier) 

แอมป์ Prism MS 10.8 DSP

แอมป์เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ระบบทำงานได้เต็มศักยภาพ

ถ้าวิทยุหน้ารถเปรียบเสมือนสมอง

แอมป์ก็คือหัวใจที่คอยส่งพลังเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

มาดูกันว่าคุณควรพิจารณาสเปคอะไรบ้าง:

กำลังขับ (Power Output):

  • RMS Power Rating: ตรวจสอบกำลังขับต่อเนื่อง (RMS) ของแอมพลิฟายเออร์ ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการให้พลังงานอย่างต่อเนื่องที่ระดับความดังที่คงที่
  • Peak Power Rating: แสดงกำลังสูงสุดที่แอมพลิฟายเออร์สามารถให้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

จำนวนช่องสัญญาณ (Number of Channels):

  • Mono Channel: สำหรับซับวูฟเฟอร์
  • 2-Channel: สำหรับลำโพงคู่หรือซับวูฟเฟอร์สองตัว
  • 4-Channel: สำหรับลำโพงสี่ตัว
  • 5-Channel หรือมากกว่า: สำหรับระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ลำโพงสี่ตัวและซับวูฟเฟอร์

ความต้านทาน (Impedance):

  • การรองรับอิมพีแดนซ์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอมพลิฟายเออร์สามารถรองรับอิมพีแดนซ์ของลำโพงที่คุณใช้ (เช่น 2 โอห์ม, 4 โอห์ม หรือ 8 โอห์ม)

การจัดการความร้อน (Heat Management):

  • GPS Navigation: บางรุ่นมาพร้อมกับระบบนำทางในตัว
  • DAB+ (Digital Audio Broadcasting): สำหรับรับสัญญาณวิทยุคุณภาพสูง

ครอสโอเวอร์ในตัว (Built-in Crossovers):

  • High-Pass/Low-Pass Filters: ช่วยแยกความถี่เสียงที่เหมาะสมไปยังลำโพงที่ต่างกัน เช่น ตัดความถี่ต่ำให้กับซับวูฟเฟอร์

ความสามารถในการบริดจ์ (Bridgeable Capability):

  • การบริดจ์ช่องสัญญาณ: บริดจ์ช่องสัญญาณเพื่อเพิ่มกำลังขับให้กับลำโพงหรือซับวูฟเฟอร์ที่ต้องการพลังงานมากขึ้น

สัญญาณรบกวน (Signal-to-Noise Ratio – SNR):

  • ค่า SNR สูง: ค่า SNR ที่สูงแสดงถึงการมีสัญญาณรบกวนต่ำ ทำให้ได้เสียงที่ชัดเจนและบริสุทธิ์มากขึ้น

ขนาดและการติดตั้ง (Size and Installation):

  • ขนาดที่เหมาะสม: เลือกแอมพลิฟายเออร์ที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ติดตั้งในรถของคุณ

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อแอมป์

  • คำนวณค่าRMSที่เราต้องการ: ให้เลือกระบบเครื่องเสียงที่เราต้องการแล้วคำนวณค่า  RMS ที่ต้องใช้และเลือกแอมป์ที่ให้พลังที่พอเพียง
  • เผื่อค่า RMS: หลังจากคำนวณเเล้วให้เลือกแอมป์ที่ให้ค่า RMS มากกว่าระบบสัก 30%
  • การทดสอบก่อนซื้อ: ที่ร็อคเก็ตซาวด์เรามีห้องทดลองเสียงให้ลองทั้งระบบ รวมถึงการเลือกและทดสอบแอมป์กับระบบนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ

ระบบเครื่องเสียงรถยนต์ส่วนใหญ่จะถูกตั้งชื่อตามจำนวนแอมพลิฟายเออร์ที่ใช้

สะท้อนถึงความซับซ้อนและความสามารถในการจัดการเสียงของระบบ

รวมถึงการขับเคลื่อนและปรับแต่งลำโพงให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดในแต่ละย่านความถี่

ระบบ Single Amping:

ระบบแอมป์เดียว

ชุดเครื่องเสียงรถยนต์ที่ใช้แอมป์เพียงตัวเดียวในการขับลำโพงทั้งหมด

เรียกว่า “Single Amplifier System” หรือ “One-Amp System”

ชุดนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานที่ง่ายที่สุดของระบบเครื่องเสียงรถยนต์

มักใช้ในกรณีที่มีลำโพงจำนวนไม่มากและไม่ต้องการพลังขับที่สูงมาก

ข้อดีของระบบ Single Amplifier:

  • การติดตั้งที่ง่าย: การติดตั้งแอมป์เพียงตัวเดียวจะง่ายกว่าการติดตั้งแอมป์หลายตัว ลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟ
  • ค่าใช้จ่ายต่ำ: ใช้แอมป์เพียงตัวเดียวจึงลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของอุปกรณ์
  • ประหยัดพื้นที่: เหมาะสำหรับรถที่มีพื้นที่จำกัด

ข้อเสียของระบบ Single Amplifier:

  • จำกัดพลังขับ: การใช้แอมป์เพียงตัวเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับระบบที่ต้องการพลังขับสูงหรือต้องการขับลำโพงหลายตัว
  • ประสิทธิภาพเสียงต่ำกว่า: การใช้แอมป์หลายตัว (เช่น Bi-Amping หรือ Tri-Amping) มักให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า

ระบบ Bi-Amping:

ระบบ Bi Amp

เป็นวิธีการปรับแต่งระบบเสียงที่ใช้แอมพลิฟายเออร์สองตัวเพื่อขับลำโพงแต่ละตัวแยกกัน

แบ่งเป็นแอมพลิฟายเออร์หนึ่งตัวสำหรับทวีตเตอร์ (เสียงความถี่สูง) และอีกตัวสำหรับวูฟเฟอร์ (เสียงความถี่ต่ำ)

วิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมและปรับแต่งเสียงได้อย่างละเอียดมากขึ้น และลดการรบกวนระหว่างความถี่สูงและต่ำ

ข้อดีของ Bi-Amping:

  • การควบคุมเสียงที่แม่นยำ: การใช้แอมพลิฟายเออร์สองตัวช่วยให้สามารถปรับแต่งเสียงความถี่สูงและต่ำได้อย่างละเอียด
  • คุณภาพเสียงที่ดีขึ้น: ลดการรบกวนระหว่างความถี่สูงและต่ำ ทำให้ได้เสียงที่มีคุณภาพสูงและชัดเจนมากขึ้น
  • การกระจายพลังงานที่ดี: แอมพลิฟายเออร์แต่ละตัวทำงานในช่วงความถี่ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถจัดการพลังงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสียของ Bi-Amping:

  • ความซับซ้อนในการติดตั้ง: ต้องการการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากขึ้นและการเชื่อมต่อที่มากกว่า
  • ค่าใช้จ่ายสูง: ต้องใช้แอมพลิฟายเออร์สองตัวและอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น สายสัญญาณและครอสโอเวอร์
  • การปรับแต่งที่ซับซ้อน: ต้องมีความรู้และความเข้าใจในการปรับแต่งระบบเสียง

ระบบ Tri-Amping:

ระบบเครื่องเสียงแอมป์สามทาง

วิธีการใช้แอมพลิฟายเออร์สามตัวในการขับลำโพงแต่ละชุด

แอมพลิฟายเออร์หนึ่งตัวจะขับทวีตเตอร์ (เสียงความถี่สูง), ตัวที่สองขับไดร์เวอร์กลาง (เสียงความถี่กลาง) และตัวที่สามขับวูฟเฟอร์ (เสียงความถี่ต่ำ)

วิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมเสียงได้อย่างแม่นยำที่สุด และให้รายละเอียดเสียงที่ยอดเยี่ยม

ข้อดีของระบบ Tri-Amplifier:

  • การควบคุมเสียงที่แม่นยำที่สุด: การใช้แอมพลิฟายเออร์สามตัวช่วยให้สามารถปรับแต่งเสียงความถี่สูง กลาง และต่ำได้อย่างละเอียด
  • คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม: ลดการรบกวนระหว่างความถี่ ทำให้ได้เสียงที่มีคุณภาพสูงและชัดเจนมากขึ้น
  • การกระจายพลังงานที่ดี: แอมพลิฟายเออร์แต่ละตัวทำงานในช่วงความถี่ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถจัดการพลังงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสียของระบบ Tri-Amplifier:

  • ความซับซ้อนในการติดตั้ง: ต้องการการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากขึ้นและการเชื่อมต่อที่มากกว่า
  • ค่าใช้จ่ายสูง: ต้องใช้แอมพลิฟายเออร์สามตัวและอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น สายสัญญาณและครอสโอเวอร์
  • การปรับแต่งที่ซับซ้อน: ต้องมีความรู้และความเข้าใจในการปรับแต่งระบบเสียง

ครอสโอเวอร์ (Crossover) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแยกสัญญาณเสียงออกเป็นความถี่ต่าง ๆ แล้วส่งไปยังลำโพงที่เหมาะสม

ครอสโอเวอร์มีสองประเภทหลัก ๆ คือ

  • แอคทีฟครอสโอเวอร์ (Active Crossover)
  • แพสซีฟครอสโอเวอร์ (Passive Crossover)

แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้:

แอคทีฟครอสโอเวอร์ (Active Crossover)

แอคทีฟครอสโอเวอร์ (Active Crossover) ทำหน้าที่แยกสัญญาณเสียงตามย่านความถี่ต่างๆก่อนที่จะส่งไปยังแอมพลิฟายเออร์แต่ละตัว

ขับลำโพงแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม ทำให้เสียงมีความคมชัดและสมดุลมากยิ่งขึ้น

ข้อดี:

  • การปรับแต่งที่ยืดหยุ่น: สามารถปรับแต่งความถี่ตัด (crossover frequency) ได้ง่าย ทำให้สามารถปรับแต่งเสียงได้อย่างละเอียด
  • คุณภาพเสียงที่ดีกว่า: ลดการสูญเสียสัญญาณและการเพี้ยนของเสียง เนื่องจากสัญญาณถูกแยกก่อนการขยาย
  • ประสิทธิภาพสูง: ทำงานร่วมกับแอมพลิฟายเออร์หลายตัวในระบบ Bi-Amping และ Tri-Amping ได้ดี

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายสูง: ราคาแพงกว่าครอสโอเวอร์แบบแพสซีฟเนื่องจากต้องใช้พลังงานภายนอกและมีการปรับแต่งที่ซับซ้อน
  • การติดตั้งที่ซับซ้อน: ต้องการความรู้และทักษะในการติดตั้งและปรับแต่งระบบ

การใช้งาน:

มักใช้ในระบบเสียงที่ต้องการคุณภาพสูงและการปรับแต่งเสียงที่ยืดหยุ่น เช่น ระบบ Bi-Amping และ Tri-Amping

แพสซีฟครอสโอเวอร์ (Passive Crossover)

ทำหน้าที่แยกสัญญาณเสียงหลังจากที่สัญญาณเสียงผ่านแอมพลิฟายเออร์แล้ว

ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งเสียงได้ละเอียดเท่าแอคทีฟครอสโอเวอร์

ข้อดี:

  • ค่าใช้จ่ายต่ำ: ราคาถูกกว่าเนื่องจากไม่ต้องใช้พลังงานภายนอก
  • การติดตั้งง่าย: ไม่ต้องมีการปรับแต่งที่ซับซ้อน ติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว

ข้อเสีย:

  • การสูญเสียสัญญาณ: มีการสูญเสียสัญญาณบางส่วนเนื่องจากการแปลงสัญญาณผ่านส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์
  • การปรับแต่งที่จำกัด: ไม่สามารถปรับแต่งความถี่ตัดได้ง่ายเหมือนครอสโอเวอร์แบบแอคทีฟ

การใช้งาน: มักใช้ในระบบเสียงที่ไม่ต้องการการปรับแต่งเสียงที่ละเอียด เช่น ระบบเสียงทั่วไปที่มีลำโพงไม่มาก

วิธีเลือกร้านเครื่องเสียงรถยนต์

ก้าวแรกของเสียงที่ดีคือการเลือกร้านเครื่องเสียงรถยนต์ให้ถูกต้อง

การเลือกร้านติดตั้งที่ดีนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก นี่คือวิธีเช็คก่อนเลือกร้านติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ที่เหมาะสม: 

1. ตรวจสอบประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ

ค้นหาร้านที่มีประสบการณ์ในด้านการติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ หรือการแข่งขัน

ตรวจสอบว่าเทคนิคการติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่

ที่ร็อคเก็ตซาวด์เรามีประสบการณ์กว่า 40ปี และแชมป์เครื่องเสียงหลายรายการ

2. อ่านรีวิวและคำแนะนำจากลูกค้า

ค้นหารีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าที่เคยใช้บริการร้านนั้น

รีวิวจากลูกค้าที่จริงสามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของการบริการ

มีลูกค้ามากกว่า 200 คนที่ให้ร็อคเก็ตซาวด์ 5 ดาวเต็ม ถือเป็นร้านที่รีวิวสูงที่สุดในประเทศ

3. ตรวจสอบอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้

ร้านที่ดีควรมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดตั้งเครื่องเสียง

การใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ถูกต้องจะช่วยให้การติดตั้งมีประสิทธิภาพ

4. ถามเกี่ยวกับการรับประกันและบริการหลังการขาย

ร้านที่มีความน่าเชื่อถือจะมีการรับประกันคุณภาพการติดตั้ง

บริการหลังการขายที่ดี การรับประกันจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าหากเกิดปัญหาหลังจากการติดตั้ง 

5. ประเมินราคาและความคุ้มค่า

ไม่ควรเลือกจากราคาถูกที่สุด ควรคำนึงถึงคุณภาพของการบริการและอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย

ที่ร็อคเก็ตซาวด์เรามีการตั้งราคาที่โปร่งใสโดยไม่บวกยิบย่อยเหมือนร้านอื่นๆทั้วไป

6. เยี่ยมชมร้าน

การเยี่ยมชมร้านจะช่วยให้คุณได้ทราบถึงความรู้และความสามารถ

รวมถึงทำให้คุณมั่นใจได้ว่าทีมงานมีความเข้าใจในความต้องการของคุณ

7. ทดสอบเสียงจริงก่อนตัดสินใจ

ร้านที่ดีควรให้ลูกค้ามีโอกาสได้ทบสอบเสียงจริงก่อนตัดสินใจ

เพราะเสียงที่ดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ที่ร็อคเก็ตซาวด์เราเป็นตัวแทนชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ ทุกท่านจะได้ทดลองฟังจนกว่าจะเจอชุดที่ใช้

หากคุณกำลังมองหาร้านติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ที่เชื่อถือได้ ลองแวะมาที่ร็อคเก็ตซาวด์ เพื่อพูดคุยและปรึกษากับทีมช่างของเรา เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การฟังเพลงที่ยอดเยี่ยมในรถของคุณ.